DIARY

 Diary เรื่อง แม่ 

        แม่ เป็นภาระให้แก่ลูกทุกคนมาตั้งแต่เกิด นั่นเป็นความจริงที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้ก็ลองคิดดูสิ ตั้งแต่เราเกิดมายังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย อยู่ดีๆผู้หญิงคนนี้ก็มาโอบอุ้ม ถูกเนื้อต้องตัวเรามิวายที่เราจะแหกปากร้องไห้ขับไล่ไสส่งยายผู้หญิงคนนี้ขนาดไหน เธอก็ยังพยายามปลอบโยนเห่กล่อมเราอยู่นั่นแหละเป็นภาระให้เราต้องจำใจเงียบยอมนอนดูดนมเธออยู่จั่บ ๆ ๆ 

          พอเราเริ่มเตาะแตะตั้งไข่จะเดินไปไหนต่อไหนมั่งคุณเธอก็ยังคอยเรียกหาเราอยู่นั่นแหละ  

          "มานี่มาลูก มานี่มา อีกนิดเดียวลูก อีกนิดเดียว อีกก้าวเดียว" ไม่รู้จะเรียกทำไมนักหนาไอ้เราก็เดินล้มลุกคลุกคลานอยู่เห็นมั้ยเป็นภาระที่เราต้องเดินไปให้เธอกอดอีก  

          โตขึ้นมาอีกนิดเราเริ่มกินอาหารได้หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้เละ ๆ เทะ ๆมาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้เดี๋ยวแม่จะน้อยใจก็เอาวะเอาซะหน่อยเคี้ยวไปเเจ่บ ๆอย่างนั้นแหละ แม่คุณก็ยิ้มปลื้มคงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะกล้วยบดนะจ๊ะ เธอจ๋าในปากฉันตอนนี้น่ะถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ
       
          ทีนี้พอเราเริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นมาหน่อย คราวนี้ยังไงล่ะผู้หญิงคนนี้กลับขับไล่ไสส่งให้เราไปโรงเรียนซะอีกไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ บางทีมีตีเราเข้าให้อีกภาษาอะไรนักก็ไม่รู้ เอามาให้เราหัดอ่านหัดเรียนใช่มั้ย ลองคิดดูนะสัปดาห์หนึ่งต้องไปโรงเรียนตั้งห้าวันน่ะมันภาระหนักหนาแก่เราแค่ไหน

          แต่พอถึงเวลาเราจะดูทีวี ดูหนังการ์ตูนนอนดึกขึ้นมาสักหน่อยลองนึกย้อนไปสิ ใครกันเคี่ยวเข็ญให้เราไปนอนด้วยตัวเองง่วงจะนอนคนเดียวก็ไม่ได้นะ ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ใช่มั้ย ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกหรอกนะเพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้น 

          วันเวลาผ่านไป เราโตขึ้นแต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที ลูกอยากจะทำผมทำเผ้าแต่งเนื้อเเต่งตัวให้มันดูอินเทรนด์ดูทันสมัย ใคร ใครกันเป็นตัวสกัดดาวรุ่งพูดแล้วขนลุกผู้หญิงคนนี้มีพัฒนาการไม่คืบหน้าไปไหนเลย..ว่ามั้ย

         พอเราสำเร็จจบการศึกษาเเล้วเป็นยังไง... เธอร้องไห้ครับ เชื่อเถอะว่าเธอต้องร้องไห้ ถ้าเราไม่เห็นก็แปลว่าเธอต้องแอบร้องไห้มีอย่างที่ไหนเราคร่ำเคร่งร่ำเรียนมาแทบตาย แล้วตัวเองแท้ ๆ ที่เป็นคนเริ่มเรื่อง พอเราเรียบจบแทนที่จะดีใจดันมาร้องไห้ มีอย่างที่ไหน

          ดีนะว่าเราเข้าใจ คู่มือการเลี้ยงแม่ก็เลยทำใจได้ ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ขอไปฉลองการสำเร็จการศึกษากับพวกเพื่อนๆที่นอกบ้านก่อนก็แหมเรียนจบทั้งที จะมาให้นั่งดูผู้หญิงแก่ ๆนั่งร้องไห้ทำไมล่ะ..ใช่มั้ย 

          เป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้วนี่ คราวนี้ใครๆก็ต้องอยากมีแฟน คนโน้นก็ไม่ดีคนนี้ก็เรื่องมาก ผมยาวไปมั่งล่ะดูไม่มีความรับผิดชอบมั่งล่ะ...แม่ แม่จะไปรู้อะไรแม่เคยคบกับเขาเหรอ 

          ไม่ใช่แค่เรื่องคู่ครองเท่านั้นนะ แม่เขายังอยากรู้ไปจนถึงเรื่องอาชีพการงานด้วยว่าเราจะไปทำอะไร อยากเป็นอะไร

          แม่ครับ แม่ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ยพวกเราจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของพวกเราอนาคตของเรา ขอให้เราได้ตัดสินมันเอง แต่เรารับรองกับแม่ได้อย่างหนึ่งว่า เราจะไม่เป็นเหมือนแม่หรอก... เชย

          นับจากบรรทัดแรกจนมาถึงบรรทัดนี้ เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้วสมควรที่พวกเราจะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเองสักที ว่าแล้วเราก็ย้ายออกจากบ้านแม่ มายืนด้วยลำแข้งของตัวเองอย่างที่แม่เคยพูดไง แล้วทำไมต้องมาทำตาละห้อยด้วยล่ะ วันที่เราย้ายออกมาน่ะมันก็ไม่ได้ใกล้มันก็ไม่ได้ไกลหรอกนะ ไอ้ที่ย้ายออกมาน่ะ แต่เวลามันรัดตัวจริงๆใช้โทร.คุยกันก็ได้นะแม่นะ

          ถึงวันที่เรามีลูก แม่ยังพยายามอยากมาทำตัวเป็นภาระกับลูกเราด้วย เราบอกแม่ว่าไม่ต้องมายุ่งหรอก เราดูแลลูกของเราได้ เด็กสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยแม่แล้วล่ะ

          แม่อายุเกือบหกสิบปีแล้ว โทร.มาไอแค่ก ๆ บอกไม่ค่อยสบาย เราบอกแม่ว่าอย่าคิดมาก ในใจเรารู้อยู่แล้วว่าแม่พยายามเรียกร้องความสนใจ นั่นเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของคุณแม่วัยนี้ 

          จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง คุณโทร.กลับไปที่บ้านแม่ แต่... ไม่มีคนรับสายแล้ว อย่าเพิ่งตกใจ แม่อาจจะออกไปทำบุญที่วัดตามประสาคนแก่ก็ได้ ลองโทร.เข้ามือถือแม่ดูซิ...ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก... 

          อย่าเพิ่งด่วนสรุป มือถือแม่อาจจะแบตหมดก็ได้ ผู้หญิงคนนี้กระดูกเหล็กจะตายไปเธอต้องไม่เป็นอะไรแน่ ๆ คิดฟุ้งซ่านไปได้ยังไงแม่ก็ต้องรอเราอยู่เหมือนเดิมน่ะแหละ ไปหาเมื่อไหร่ก็ต้องเจอ อย่างมากแกก็อาจจะงอนนิดๆหน่อยๆพอเห็นหลานตัวเล็กๆวิ่งเข้าไปกอดก็ขี้คร้านจะอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้ง หลายวันผ่านไปทำไมแม่ยังไม่โทร.กลับมาอีกนะ ทำบุญตักบาตรก็ไม่น่าจะรอคิวนานขนาดนี้ ชาร์จแบตมือถือไม่เต็มก็เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นแบตเตอรี่รถสิบล้อป่านนี้ไฟทะลักแล้ว 

          วันนี้แวะไปหาแม่สักหน่อยดีกว่า ระหว่างทางที่คุณขับรถไป ลูกคุณซนเป็นลิงอยู่ข้างๆประโยคมากมายที่หลุดจากปากคุณ ล้วนเเต่เป็นคำที่แม่คุณเคยพูดมาแล้วทั้งสิ้น คุณเพิ่งสัมผัสได้ ภาพเก่าๆมากมายที่ผู้หญิงคนนั้นทำวิ่งวนอยู่ในหัวคุณ ช่างเถอะ.. เดี๋ยวเจอเธอแล้วคุณจะสารภาพผิด แล้วทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น แล้วคุณก็ได้เจอคนที่คุณรู้สึกว่าเธอเป็นภาระให้กับคุณมาตั้งแต่เกิด 

          ผู้หญิงคนนั้น นอนตายในท่าที่คอยคุณมาตลอดชีวิต... 




 Diary เรื่อง รัก

คงเป็นเรื่องน่าเศร้า 
หากคนเราต้องบิดเบือนความจริงในใจ 
แล้วใส่หน้ากากเข้าหากัน
เราคงมีชีวิตอยู่กับความสุขปลอมๆ 
ท่ามกลางความกลัวที่จะ
ผิดหวัง 
ทั้งที่ในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี
ถอกหน้ากากออกดีไหม 
จะเป็นไรไป หากใครจะอ่านสายตาของเราได้ 
หรือแม้แต่จะมองทะลุถึงใจของเรา
เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่เราไม่ต้องปิดบัง อำพราง 
ไม่ต้องไว้ท่าไว้ทางหรือมีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ 
เมื่อนั่นใจของเราย่อมมีพลังอย่างเต็มที่ 
ที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้บังเกิดขึ้น
ซึ่งต่างค้นพบพลังแห่งความจริงใจ 
เป็นพลังที่เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ 
แต่มีอานุภาพเหลือประมาณ
ฉะนั้น.. 
อย่ากลัวเลย..ที่จะเป็นคนจริงใจ 
เป็นคนซื่อๆ ใสๆ 
ปากกับใจตรงกัน 
ถึงแม้เราไม่เก่ง ไม่ดีเด่น 
ไม่ได้เป็นคนสำคัญ 
ขอเพียงเรามีความจริงใจต่อกัน 
แค่นี้ก็สุขสบายใจ.
.


 Diary เรื่อง พอเพียง

 “เศรษฐกิจพอเพียง”  เป็นหลักปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า  และกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง  ชนชาวไทยได้น้อมนำมาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม  ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ  เช่น  ทำไร่นาสวยผสม  ปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้  ปลูกผักปลอดสารพิษไว้รับประทานในครอบครัว  ใช้จ่ายอย่างประหยัด  จัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายในครัวเรือน    เพื่อให้เห็นปัญหาข้อบกพร่องในการใช้จ่าย  จะได้ตรวจสอบว่าสิ่งใดสมควรซื้อ  สิ่งใดไม่สมควรซื้อ  จะได้ลดค่าใช้จ่ายลง  เป็นต้น

                เมื่อกล่าวถึงคำว่า  “พอเพียง”  แล้ว  คงต้องกล่าวถึงคำว่า  “พอดี”  ควบคู่กันไป  เพราะ  ความพอดี  ก็คือความพอเพียง  เมื่อรู้จักพอ  ก็จะทำให้จิตใจเป็นสุข  ถ้าใจเป็นสุขก็จะไม่เบียดเบียนตนและคนอื่น  รู้จักให้ทาน    รู้จักแบ่งปัน  รู้จักเสียสละ  ช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า  เหล่านี้คือ     ความพอดีพอเพียง  และในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  มีหลักปฏิบัติ  ที่ต้องคำนึงถึง  ประกอบด้วย  ๓  ห่วง  ๒  เงื่อนไข  กล่าวคือ  เน้นการปฏิบัติในทางสายกลาง  และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  ๓ คุณลักษณะ  ได้แก่  ความพอประมาณ  ความมีเหตุมีผล  และการมีภูมิคุ้มกันที่ดี  ส่วน  ๒  เงื่อนไขได้แก่  เงื่อนไขความรู้  และเงื่อนไขคุณธรรม

                การดำเนินชีวิตโดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  อย่างมีความสุขนั้น  ผู้ที่นำมาปฏิบัติให้เกิดเป็นผลจะต้องเป็นผู้มีความรอบรู้  รอบคอบ  ระมัดระวัง  ในการใช้วิชาความรู้ที่ตนมี  ควบคู่ไปกับคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริต  ขยันอดทน  ใช้สติปัญญา  และรู้จักแบ่งปัน  รู้จักประมาณตน  มีเหตุ         มีผล  และมีความมุ่งมั่น  มีภูมิคุ้มกันที่ดี  จึงจะนำไปสู่ชีวิตที่มีความพอเพียง  อยู่ในสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล  มั่นคง  มั่งคั่ว  ยั่งยืน  และมีความเป็นสุข  ดังคำขวัญที่ว่า


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น